พิพัฒน์ คุณวงค์ (เรียบเรียง)
1.
ความหมายของการคิดวิเคราะห์
พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน
(2554) ให้ความหมายของคำว่า คิด หมายถึง การใคร่ครวญ การไตร่ตรอง
การคาดคะเน การคำนวณ ส่วนคำว่าวิเคราะห์ หมายถึง การใคร่ครวญ การแยกออกเป็นส่วน ๆ
เพื่อศึกษาให้ถ่องแท้ ดังนั้น คิดวิเคราะห์ จึงหมายถึง การใคร่ครวญ ไตร่ตรอง
คาดคะเน ตลอดทั้งการคำนวณ โดยแยกออกเป็นแต่ละส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาให้ถ่องแท้
Dewey (1933 อ้างถึงใน ลักขณา สริวัฒน์, 2549)
ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่า หมายถึง การคิดอย่างใคร่ครวญไตร่ตรอง โดยอธิบายขอบเขตของการคิดวิเคราะห์ว่าเป็นการคิดที่เริ่มต้นจากสถานการณ์ที่มีความยุ่งยาก
และสิ้นสุดลงด้วยสถานการณ์ที่มีความชัดเจน
Bloom (1956
อ้างถึงใน ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ, 2553) ให้ความหมายการคิดวิเคราะห์ว่าเป็นความสามารถในการแยกแยะเพื่อหาส่วนย่อยของเหตุการณ์
เรื่องราว หรือเนื้อหาต่าง ๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มีสาระความสำคัญอะไร
มีความสัมพันธ์กันอย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล
และที่เป็นอย่างนั้นอาศัยหลักการอะไร
Good (1973 อ้างถึงใน ลักขณา
สริวัฒน์, 2549) ให้ความหมายการคิดวิเคราะห์ว่าเป็นการคิดอย่างรอบคอบตามหลักของการประเมินและมีหลักฐานอ้างอิง
เพื่อหาข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้ ตลอดจนพิจารณาองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
และใช้กระบวนการตรรกวิทยาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
Russel (1978 อ้างถึงใน
ลักขณา สริวัฒน์, 2549) ให้ความหมายการคิดวิเคราะห์ว่าเป็นการคิดเพื่อแก้ปัญหาชนิดหนึ่ง
โดยผู้คิดจะต้องใช้การพิจารณาตัดสินใจในเรื่องราวต่าง ๆ
ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
การคิดวิเคราะห์จึงเป็นกระบวนการประเมินหรือการจัดหมวดหมู่
โดยอาศัยเกณฑ์ที่เคยยอมรับกันมาแต่ก่อน ๆ แล้วสรุปหรือพิจารณาตัดสิน
Marzano (2001 อ้างถึงใน
ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ, 2556) กล่าวว่า การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถในการใช้เหตุผล
และความละเอียดถี่ถ้วนในการจำแนกแยกแยะสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมีกระบวนการที่สำคัญย่อย ๆ 5
ประการ ได้แก่ 1) การจำแนก 2) การจัดหมวดหมู่ 3) การวิเคราะห์ข้อผิดพลาด 4) การสรุปเป็นหลักการ
และ 5) การทำนาย
เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์ (2546) ให้ความหมายของการคิดเชิงวิเคราะห์ว่า การคิดเชิงวิเคราะห์ หมายถึง
ความสามารถในการจำแนกแจกแจงองค์ประกอบต่าง ๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น
เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้น
สุวิทย์ มูลคำ (2547) ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่า
การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจำแนก แยกแยะ องค์ประกอบต่าง ๆ
ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นวัตถุ สิ่งของ เรื่องราว หรือเหตุการณ์และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นเพื่อค้นหาสภาพความเป็นจริงหรือสิ่งสำคัญของสิ่งที่กำหนดให้
ลักขณา สริวัฒน์ (2549) ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่า
การคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking) หมายถึง
ความสามารถในการแยกแยะส่วนย่อย ๆ ของเหตุการณ์เรื่องราวเนื้อหาต่าง ๆ
ว่าประกอบด้วยอะไร มีจุดมุ่งหมายหรือความประสงค์สิ่งใด และส่วนย่อย ๆ
ที่สำคัญนั้นแต่ละเหตุการณ์เกี่ยวพันกันอย่างไรบ้าง
และเกี่ยวพันกันโดยอาศัยหลักการใด เพื่อให้เกิดความชัดเจนและความเข้าใจจนสามารถนำไปสู่การตัดสินใจอย่างถูกต้อง
เหมาะสม
ประพันธ์ศิริ
สุเสารัจ (2556) ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่า การคิดวิเคราะห์ หมายถึง
ความสามารถในการมองเห็นรายละเอียดและจำแนกแยกแยะข้อมูลองค์ประกอบของสิ่งต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ เรื่องราว เหตุการณ์ต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ
และจัดเป็นหมวดหมู่ เพื่อค้นหาความจริง ความสำคัญ แก่นแท้ องค์ประกอบหรือหลักการของเรื่องนั้น
ๆ สามารถอธิบายและตีความสิ่งที่เห็น ทั้งที่แฝงภายในและที่ปรากฏได้อย่างชัดเจน
รวมทั้งหาความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงของสิ่งต่าง ๆ ว่าเกี่ยวพันกันอย่างไร
มีสาเหตุ ผลกระทบ หลักการไดที่นำความคิดไปสู่การสรุป การประยุกต์ใช้ ทำนายหรือคาดการณ์สิ่งต่าง
ๆ ได้อย่างถูกต้อง
ศิวกานท์
ปทุมสูติ (2553) ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่า การคิดวิเคราะห์ หมายถึง
การพิจารณาสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยแยกเป็นส่วน ๆ
อย่างใคร่ครวญให้รู้เหตุรู้ผลและรู้เรื่องราวของสิ่งหนึ่งสิ่งนั้นอย่างรอบด้านและครบถ้วน
กระทั่งสามารถกระทำหรือนำไปใช้ได้ สร้างสรรค์ได้
และพัฒนาได้อย่างสมประโยชน์และเจตนาอีกด้วย
ชัยวัฒน์
สุทธิรัตน์ (2555) ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่า การคิดวิเคราะห์ หมายถึง
ความสามารถในการแยกแยะเพื่อสืบค้นข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ เรื่องราว
หรือเนื้อหาต่าง ๆ โดยการจำแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อมูล จัดกลุ่มอย่างเป็นระบบ
ตีความ และทำความเข้าใจกับองค์ประกอบของสิ่งนั้น
โดยมีหลักฐานอ้างอิงเพื่อหาข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้และใช้กระบวนการตรรกวิทยาในการสรุป
ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและสมเหตุสมผล
สุคนธ์ สินธพานนท์
(2555) ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่า
เป็นการคิดที่สามารถจำแนกแยกแยะข้อมูลออกเป็นส่วนย่อยตามหลักการที่กำหนดเพื่อค้นหาความจริงจนได้ความคิดที่จะนำไปสู่ข้อสรุปและการนำไปประยุกต์ใช้
องค์ประกอบสำคัญของการคิดวิเคราะห์ประกอบด้วยการคิดวิเคราะห์เนื้อหา
การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และการคิดวิเคราะห์หลักการ
สามารถสรุปได้ว่า
การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถใจการจำแนก แยะแยะข้อมูล
องค์ประกอบออกเป็นส่วนย่อยด้วยความรอบคอบ สามารถหาความสัมพันธ์ แก่นแท้ของข้อมูล
และสามารถนำข้อมูลองค์ประกอบต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างสมเหตุสมผล
2.
องค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์
การคิดวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ
จำเป็นต้องมีองค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์หลาย
ประการที่มีส่วนช่วยให้การคิดวิเคราะห์นั้นมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง แม่นยำมากที่สุด
โดยนักหารศึกษาหลายท่านได้ให้องค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์ไว้ดังนี้
เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์ (2546) ได้อธิบายองค์ประกอบของการคิดเชิงวิเคราะห์ว่าประกอบด้วย
1. ความสามารถในการตีความ
เราจะไม่สามารถวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ได้ หากไม่เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจข้อมูล
ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลที่ปรากฏว่าอะไรเป็นอะไรด้วยการตีความ
การจะตีความได้ดีหรือไม้ดีนั้นขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการตีความ
โดยจะแตกต่างกันไปตามความรู้ ประสบการณ์ และค่านิยมของแต่ละบุคคล
1.1 การตีความจากความรู้ เช่น
หากคนที่มีความรู้ด้านการบริหารงานบุคคลมาก เมื่อเห็นตัวเลขสถิติการประเมินประสิทธิภาพการทำงานของคนในองค์กร
เขาจะสามารถตีความจากสถิติเหล่านั้นได้ไม่ยาก
1.2 การตีความจากประสบการณ์
เช่น เมื่อเห็นเจ้านายยิ้ม เราสามารถตีความบุคลิกท่าทาง หรือสิ่งภายนอกที่แสดงออกได้ว่าเขากำลังอารมณ์ดี
หรือเมื่อเราเห็นคนใส่เสื้อผ้าขาดวิ่นและสกปรก เราสามารถตีความได้ว่าเขาคงจะเป็นคนยากจน
1.3 การตีความจากข้อเขียน
เช่น ผู้เขียนมีแรงจูงใจอะไรในการเขียน เขียนเพื่ออะไร
หรือสามารถตีความถึงบุคลิกภาพ ลักษณะ หรือทัศนคติของผู้เขียนได้
2. ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะวิเคราะห์
การที่จะสามารถคิดวิเคราะห์ได้ดีนั้นจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องนั้น
เพื่อช่วยในการกำหนดขอบเขตของการวิเคราะห์ แจกแจงและจำแนกได้ว่าเกี่ยวข้องกับอะไร
มีองค์ประกอบย่อย ๆ อะไร มีกี่หมวดหมู่ จัดลำดับความสำคัญอย่างไร
และรู้ถึงสาเหตุและผลที่เกิดขึ้น
3. ความช่างสังเกต
ช่างสงสัยและช่างถาม นักคิดเชิงวิเคราะห์จำเป็นต้องมีทั้ง 3
สิ่งนี้ควบคู่กันไป คือต้องช่างสังเกต ในสภาพแวดล้อม สิ่งรอบข้าง ความผิดปกติต่าง
ๆ ต้องช่างสงสัย ไม่ละเลยความผิดปกติ แต่ควรคิด พิจารณา ไตร่ตรอง และต้องช่างถาม
ทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง เพื่อนำไปสู่การคิดที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น
การตั้งคำถามจะนำไปสู่การค้นพบข้อเท็จจริง เกิดความชัดเจนในประเด็นที่วิเคราะห์
ขอบเขตคำถามที่เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์จะยึดหลักการตั้งคำถามโดยใช้หลัก
5W 1H คือ ใคร (Who) ทำอะไร (What) ที่ไหน
(Where) เมื่อไร (When) เพราะเหตุใด (Why)
อย่างไร (How) คำถามเหล่านี้อาจไม่จำเป็นต้องใช้ทุกข้อ
ควรเลือกใช้ข้อที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อความชัดเจน ครอบคลุมและตรงประเด็น
4. ความสามารถในการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
นักคิดเชิงวิเคราะห์จะต้องมีความสามารถในการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
สามารถหาคำตอบได้ว่า
...อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดสิ่งนี้
...เรื่องนั้นเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ได้อย่างไร
...เรื่องนี้มีใครเกี่ยวข้องบ้าง
เกี่ยวข้องกันอย่างไร
...เมื่อเกิดเรื่องนี้ จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง
...สาเหตุที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์นี้
...องค์ประกอบใดบ้างที่นำไปสู่สิ่งนั้น
...วิธีการ ขั้นตอนการทำให้เกิดสิ่งนี้
...สิ่งนี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง
...แนวทางแก้ปัญหามีอะไรบ้าง
...ถ้าทำเช่นนี้
จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
...และคำถามอื่น ๆ ที่มุ่งให้เกิดการขบคิดเชื่อมโยงเหตุและผลของเรื่องที่เกิดขึ้น
นักคิดเชิงวิเคราะห์จึงต้องเป็นผู้ที่มีความสามรถในการใช้เหตุผล
จำแนกแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเป็นความจริง สิ่งใดเป็นความเท็จ
สิ่งใดมีองค์ประกอบในรายละเอียดเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างไร
สุวิทย์ มูลคำ (2547) ได้อธิบายว่า
การคิดวิเคราะห์ มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ ดังนี้
1. สิ่งที่กำหนดให้
เป็นสิ่งสำเร็จรูปที่กำหนดให้วิเคราะห์ เช่น วัตถุ สิ่งของ เรื่องราว
เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ เป็นต้น
2. หลักการหรือกฎเกณฑ์
เป็นข้อกำหนดสำหรับใช้แยกส่วนประกอบของสิ่งที่กำหนดให้ เช่น
เกณฑ์ในการจำแนกสิ่งที่มีความเหมือนกันหรือแตกต่างกัน
หลักเกณฑ์ในการหาลักษณะความสัมพันธ์เชิงเหตุผลอาจจะเป็นลักษณะความสัมพันธ์ที่มีความคล้ายคลึงกันหรือขัดแย้งกัน
เป็นต้น
3. การค้นหาความจริงหรือความสำคัญ
เป็นการพิจารณาส่วนประกอบของสิ่งที่กำหนดให้ตามหลักการหรือกฎเกณฑ์
แล้วทำการรวบรวมประเด็นที่สำคัญเพื่อหาข้อสรุป
จากองค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์
สามารถสรุปได้ว่าการคิดวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพถูกต้อง
แม่นยำมากที่สุดต้องอาศัยองค์ประกอบในการคิดวิเคราะห์หลายอย่างจึงจะได้ข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์
สามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และเป็นระบบ
3. ลักษณะของการคิดวิเคราะห์
ลักษณะของการคิดวิเคราะห์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การคิดวิเคราะห์นั้นเกิดประสิทธิภาพและเป็นเกิดประโยชน์ได้มากที่สุด
ซึ่งนักการศึกษาหลายท่านได้อธิบายถึงลักษณะของการคิดวิเคราะห์ไว้ดังนี้
Bloom (1956 อ้างถึงใน
ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ, 2556) ได้กล่าวถึงลักษณะของการคิดวิเคราะห์ไว้
3 ประเด็นดังนี้
1. การคิดวิเคราะห์ความสำคัญหรือเนื้อหาของสิ่งต่าง
ๆ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะได้ว่าสิ่งใดจำเป็น สิ่งใดสำคัญ
สิ่งใดมีบทบาทมากที่สุด ประกอบด้วย
1.1 วิเคราะห์ชนิด
เป็นการวินิจฉัยว่าสิ่งนั้น เหตุการณ์นั้น ๆ จัดเป็นชนิดใด ลักษณะใด เช่น
ต้นผักชีเป็นพืชชนิดใด ปะการังเป็นพืชหรือสัตว์
1.2. วิเคราะห์สิ่งสำคัญ
เป็นการวินิจฉัยว่าสิ่งใดสำคัญ สิ่งใดไม่สำคัญ เป็นการค้นหาสาระสำคัญข้อความหลัก
ข้อสรุป จุดเด่น จุดด้อยของสิ่งต่าง ๆ
1.3 วิเคราะห์เลศนัย
เป็นการมุ่งค้นหาสิ่งที่แอบแฝงซ่อนเร้น หรือค้นหาสิ่งที่อยู่เบื้องหลังจากสิ่งที่เห็น
ซึ่งมิได้บอกตรง ๆ แต่มีร่องรอยของความจริงซ่อนเร้นอยู่ เช่น สมทรงเป็นป้าของฉัน
(จึงหมายถึงสมทรงเป็นผู้หญิง)
2. การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์
หมายถึง การค้นหาความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ว่ามีอะไรสัมพันธ์กัน
สัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไร สัมพันธ์กันมากน้อยเพียงใด สอดคล้องหรือขัดแย้งกัน
ได้แก่
2.1
วิเคราะห์ชนิดของความสัมพันธ์
- มุ่งให้คิดว่าเป็นความสัมพันธ์แบบใด
มีสิ่งใดสอดคล้องกันหรือไม่สอดคล้องกัน
- มีข้อความใด/สิ่งใดไม่สมเหตุสมผล
เพราะอะไร
- จับคู่ภาพ/สิ่งที่สัมพันธ์กัน
- บอกความเหมือน/ความแตกต่าง
2.2
วิเคราะห์ขนาดของความสัมพันธ์
- สิ่งใดเกี่ยวข้องมากที่สุด/น้อยที่สุด
- สิ่งใดสัมพันธ์กับสถานการณ์
หรือเรื่องราวมากที่สุด
- การเรียงลำดับมากน้อยของสิ่งต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง
2.3
วิเคราะห์ขั้นตอนความสัมพันธ์
-
เรียงลำดับขั้นตอนของเหตุการณ์ตามลำดับก่อนหลัง วงจรของสิ่งต่าง ๆ
สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาตามลำดับขั้นตอน
2.4
วิเคราะห์จุดประสงค์และวิธีการ
- บอกเป้าหมาย จุดมุ่งหมายของการกระทำ
- บอกผลสัมฤทธิ์ของการกระทำ
2.5
วิเคราะห์สาเหตุและผล
- บอกสิ่งที่เป็นสาเหตุของเหตุการณ์
- หากไม่ทำอย่างนี้ผลจะเป็นอย่างไร
- หากทำอย่างนี้ผลจะเป็นอย่างไร
- สองสิ่งนี้เป็นเหตุผลแก่กัน
หรือขัดแย้งกัน
2.6
วิเคราะห์แบบความสัมพันธ์ในรูปอุปมาอุปไมย เช่น บินเร็วเหมือนนก, ช้อนคู่ซ้อม ตะปูคู่กับอะไร, ควายอยู่ในนา
ปลาอยู่ในน้ำ, ระบบประชาธิปไตยเหมือนกับระบบการทำงานของอวัยวะในร่างกาย
3. การคิดวิเคราะห์เชิงหลักการ
หมายถึง การค้นหาโครงสร้างระบบ เรื่องราว สิ่งของ และการทำงานต่าง ๆ
ว่าสิ่งเหล่านั้นดำรงอยู่ในสภาพเช่นนั้นเนื่องจากอะไร มีอะไรเป็นแกนหลัก
มีหลักการอย่างไร มีเทคนิคหรือยึดคติใด มีสิ่งในเป็นตัวเชื่อมโยง ประกอบด้วย
3.1
วิเคราะห์โครงสร้าง เป็นการค้นหาโครงสร้างของสิ่งต่าง ๆ
- บอกกระบวนการ
- สิ่งนี้บอกความคิดหรือเจตนาอะไร
- คำกล่าวนี้มีลักษณะอย่างไร
- โครงสร้างเป็นอย่างไร
- ส่วนประกอบของสิ่งนี้มีอะไรบ้าง
3.2 วิเคราะห์หลักการ
เป็นการแยกแยะเพื่อค้นหาความจริงของสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยความรู้เดิม
แล้วสรุปเป็นคำตอบหลักได้
- หลักการของเรื่องนี้มีว่าอย่างไร
Marzano (2001 อ้างถึงใน ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ, 2556) กล่าวว่า
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ประกอบด้วยความสามารถ 5 ด้าน
ได้แก่
1. การจับคู่ (Matching) หมายถึง ความสามารถในการจับคู่สิ่งต่าง ๆ ที่เหมือนกันทั้งรูปร่าง
ลักษณะแหล่งกำเนิด สามารถแยกแยะสิ่งต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ที่เหมือนกันและแตกต่างกันออกเป็นแต่ละส่วนให้เข้าใจง่ายอย่างมีหลักเกณฑ์
สามารถระบุตัวอย่างหลักฐานและลักษณะความเหมือน ความแตกต่างได้
ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่ความสามารถในการจับคู่ได้ เป็นการฝึกโดยใช้ความรู้พื้นฐาน
โดยไม่ใช้ข้อมูลทั้งหมด เป็นการฝึกจับคู่ระหว่าง 2 สิ่ง
ที่มีความเหมือนกันและมีความแตกต่างกันตั้งแต่การจับคู่อย่างง่าย ๆ
ไปจนถึงการจับคู่อย่างสลับซับซ้อน ประกอบด้วยความสามารถต่าง ๆ ดังนี้
1.1 ระบุสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์
1.2 ระบุลักษณะ
คุณสมบัติของสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์
1.3 หาความเหมือนและความแตกต่างของสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์
1.4 หาความแตกต่างและความถูกต้อง
2. ด้านการจัดหมวดหมู่
หรือการจัดกลุ่ม (Classification) หมายถึง ความสามารถในการประมวลความรู้เพื่อการจัดกลุ่ม
จัดลำดับและประเภทของสิ่งต่าง ๆ อย่างมีความหมายออกเป็นพวกเป็นกลุ่ม
สามารถจัดกลุ่มที่มีหลักการและลักษณะที่คล้ายคลึงเข้าด้วยกันอย่างมีหลักเกณฑ์
เลือกสิ่งของที่เหมือนกันในการจัดกลุ่ม สามารถหาคุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งของที่เหมือนกัน
จัดประเภทของสิ่งต่าง ๆ ที่มีลักษณะจุดร่วมเหมือนกัน ทั้งด้านเนื้อหา ด้านความรู้
และด้านทักษะ ประกอบด้วยความสามารถต่าง ๆ ดังนี้
2.1 เลือกสิ่งของที่เหมือนกัน
กำหนดตัวบ่งชี้ของสิ่งที่ต้องการจัดกลุ่ม
2.2 ให้คำนิยามหรือคุณลักษณะ
หรือคุณสมบัติของสิ่งที่ต้องการจัดกลุ่ม
2.3 กำหนดหมวดหมู่ของสิ่งต่าง
ๆ และให้เหตุผลว่าเหตุใดจึงอยู่ในกลุ่ม
2.4 กำหนดสิ่งที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเพิ่มเติม
(ถ้ามี) ให้เหตุผลว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร
3. การจับผิดหรือการวิเคราะห์ข้อผิดพลาด
(Error analysis) หมายถึง ความสามารถการแยกแยะข้อผิดพลาด
มองเห็นความสัมพันธ์และความไม่สัมพันธ์สอดคล้องของสิ่งต่าง ๆ
สามารถระบุสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งผิดปกติไม่เหมาะสม เป็นไปไม่ได้ในสถานการณ์จากการสังเกตและการใช้ความรู้เดิมผสมผสานกับความรู้ใหม่
สามารถโยงความสัมพันธ์สู่การสรุปและลงความเห็นได้อย่างสมเหตุสมผล
สามารถสรุปประเด็นต่าง ๆ
และยกเหตุผลประกอบได้โดยผ่านการโต้แย้งอย่างเหมาะสมและมีเหตุผล
ทั้งนี้ต้องมีความสามารถในการสรุปจากความรู้ที่เป็นจริงที่มีมาก่อน
เป็นความรู้ที่ยอมรับโดยทั่วไป เช่น จากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญหรือมีการทดลอง
มีพยานหลักฐาน มีข้อมูลสนับสนุน หรือมีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง
การพัฒนาความสามารถในด้านนี้จะเกิดขึ้นได้
จะต้องฝึกความสามารถในการใช้เหตุผลที่ทุกคนยอมรับได้
ฝึกการอธิบายความสัมพันธ์และการระบุข้อมูลหรือสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่สมเหตุสมผล
สิ่งที่ผิดปกติแตกต่างออกไปจากที่ควรเป็น ควรมีการโต้แย้ง ถกเถียงกันโดยใช้เหตุผล
โดยจะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้
3.1 มีความรู้เดิมเป็นพื้นฐาน
ต้องฝึกอ้างอิงความรู้เดิม ซึ่งหมายถึงความรู้ที่เป็นความจริง
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ความรู้ที่เชื่อกันมานาน ความรู้จากการพิสูจน์ทดลอง
ความรู้จากความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
3.2 ฝึกฝนการใช้หลักฐาน
หลักฐานจะเป็นการอธิบายอย่างละเอียดและตีความข้อมูลพื้นฐานนั้น
ผู้โต้เถียงกันจะต้องมีหลักฐานที่เป็นที่น่าเชื่อถือได้ประกอบในการถกเถียง
3.3 มีข้อมูลสนับสนุน
สามารถหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มาสนับสนุนความคิดของตนเอง เป็นการสนับสนุนให้หลักฐานได้รับการยอมรับนับถือมากขึ้น
3.4 ขยายความ
สามารถขยายความคิดของตนเองให้เป็นที่ยอมรับ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนั้น ๆ
4. การสรุปอ้างอิงหลักการได้
(Generalization) หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้เดิมที่มีไปสรุปเป็นหลักการใหม่
นำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม หรือสามารถนำความรู้ไปใช้ในกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้
ส่วนใหญ่เป็นการให้เหตุผลเชิงอุปนัย คือเรียนรู้จากตัวอย่าง
เหตุการณ์รายละเอียดย่อย สรุปเป็นหลักการ
ทั้งนี้มาร์ซาโนและคณะได้เสนอขั้นตอนของการสรุปอ้างอิง ดังนี้
4.1 พิจารณา
สังเกตข้อมูลอย่างถี่ถ้วนและสันนิษฐาน และสรุปผลข้อมูลที่มีอยู่ในจินตนาการเอาเอง
4.2 หารูปแบบการเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านั้น
4.3 สร้างหลักการ
รูปแบบการอธิบายข้อมูล
4.4 ศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันหลักการหรือเปลี่ยนแปลงหลักการนั้น
5. การทำนาย (Specifying) หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้หรือหลักการที่มีอยู่แล้วไปใช้เพื่อการกะประมาณและทำนายสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อ่างจำเพาะเจาะจง
สามารถเข้าใจเหตุการณ์ มีความรู้ สามารถระบุรายละเอียดในเหตุการณ์นั้น
สามารถระบุสิ่งที่มีผลตามมา และปรับเปลี่ยนวิธีการให้เหมาะสมกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปได้
ส่วนใหญ่เป็นการให้เหตุผลเชิงนิรนัย กล่าวคือ จากข้อสรุป
จากกฎหรือหลักการใหญ่แล้วสามารถระบุรายละเอียดได้
สร้างเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างจำเพาะเจาะจงได้
เลือกหลักการหรือกฎที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่เจะจงได้ เป็นการใช้กระบวนการทางนิรนัยมากกว่า
ในขณะที่ขั้นตอนที่ 4 การสรุปอ้างอิงเป็นกระบวนการทางอุปนัยมากกว่า
ดังนี้
5.1 บอกสถานการณ์ที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมได้
5.2 ระบุหลักการและสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
5.3 สร้างความมั่นใจในสถานการณ์และเงื่อนไขที่อาจจะเกิดขึ้น
5.4 เมื่อนำหลักการไปใช้แล้ว
ระบุสถานการณ์ได้ ระบุข้อสรุปได้ สามารถทำนายได้บอกข้อสรุป
สถานการณ์และสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้หากมีการนำไปใช้
สุวิทย์ มูลคำ (2547) ได้จำแนกลักษณะของการคิดวิเคราะห์เป็น 3 ลักษณะดังนี้
1. การวิเคราะห์ส่วนประกอบ
เป็นความสามารถในการหาส่วนประกอบที่สำคัญของสิ่งของหรือเรื่องราวต่าง ๆ เช่น
การวิเคราะห์ส่วนประกอบของพืช สัตว์ ข่าว ข้อความ หรือเหตุการณ์ เป็นต้น
2. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์
เป็นความสามารถในการหาความสัมพันธ์ของส่วนสำคัญต่าง ๆ
โดยการระบุความสัมพันธ์ระหว่างความคิด ความสัมพันธ์ในเชิงเหตุผลหรือความแตกต่างระหว่างข้อโต้แย้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง
3. การวิเคราะห์หลักการ
เป็นความสามารถในการหาหลักความสัมพันธ์ส่วนสำคัญในเรื่องนั้น ๆ
ว่าสัมพันธ์กันอยู่โดยอาศัยหลักการใด เช่น การให้ผู้เรียนค้นหาหลักการของเรื่อง
การระบุจุดประสงค์ของผู้เรียน ประเด็นสำคัญของเรื่อง
เทคนิคที่ใช้ในการจูงใจผู้อ่าน และรูปแบบของภาษาที่ใช้ เป็นต้น
4. ประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์
การนำทักษะการคิดวิเคราะห์ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
จะก่อให้เกิดประโยชน์กับทั้งตนเอง และสังคม
ซึ่งนักการศึกษาได้อธิบายประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ไว้ดังนี้
เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์ (2546) กล่าวถึงประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ไว้ดังนี้
1. การคิดวิเคราะห์ช่วยส่งเสริมความฉลาดทางปัญญา
ความฉลาดของมนุษย์นั้นต้องประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ
3 ประการ คือ
ความฉลาดในการสร้างสรรค์ (Creative Intelligence) ความฉลาดในการวิเคราะห์
(Analytical Intelligence) และความฉลาดในการปฏิบัติจริง (Practical Intelligence) ซึ่งในส่วนของความฉลาดในการวิเคราะห์นั้น
หมายถึง ความสามารถในการวิเคราะห์และประเมินแนวคิดที่คิดขึ้นนั้น
และความสามารถในการนำมาแก้ปัญหา และการตัดสินใจ โดยธรรมชาติ มนุษย์จะมีจุดอ่อนด้านความสามารถทางการคิดหลายประการ
การคิดวิเคราะห์จะช่วยแก้ไขจุดอ่อนทางความคิดเหล่านี้ได้ อาทิ
1.1
ช่วยให้คำนึงถึงความสมเหตุสมผลของขนาดกลุ่มตัวอย่าง ในการสรุปเรื่องราวต่าง ๆ
เรามักไม่ได้คำนึงถึงจำนวนข้อมูลที่สามารถบ่งชี้ความสมเหตุสมผลของเรื่องนั้น
แต่มักด่วนสรุปไปตามอารมณ์ความรู้สึก หรือเหตุผลส่วนตัว
แต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปข้อเท็จจริง
ซึ่งการคิดเชิงวิเคราะห์จะช่วยให้เราคำนึงถึงจำนวนของข้อมูลในการนำมาเป็นองค์ประกอบของการสรุป
1.2
ช่วยลดการอ้างประสบการณ์ส่วนตัวเป็นข้อสรุปทั่วไป การมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์จะช่วยให้เราไม่ด่วนสรุปสิ่งใดง่าย
ๆ โดยอ้างประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเพียงคนเดียว แต่สื่อสารตามความเป็นจริง
และจะช่วยให้เราไม่หลงเชื่อข้ออ้างที่เกิดจากตัวอย่างเพียงตัวอย่างเดียว
แต่พิจารณาเหตุและปัจจัยเฉพาะในแต่ละกรณี
1.3 ช่วยขุดค้นสาระของความประทับใจครั้งแรก
การคิดเชิงวิเคราะห์จะช่วยในการพิจารณาสาระสำคัญอื่น ๆ
ที่ถูกบิดเบือนไปจากความประทับใจในครั้งแรก ทำให้เรามองอย่างครบถ้วนในแง่มุมอื่น ๆ
ที่มีอยู่
1.4
ช่วยตรวจสอบการคาดคะเนบนฐานความรู้เดิม การคิดเชิงวิเคราะห์จะช่วยให้เราประมาณการความน่าจะเป็น
โดยใช้ข้อมูลพื้นฐานที่มีวิเคราะห์ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ ณ ขณะนั้น
ซึ่งจะช่วยให้การคาดคะเนสมเหตุสมผลมากขึ้น
1.5
ช่วยวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ส่วนบุคคล
การคิดเชิงวิเคราะห์จะช่วยให้เราหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ณ
ขณะนั้น โดยไม่ยึดติดกับอคติ ทำให้ประเมินสิ่งต่าง ๆ ได้สมจริงสมจัง
2. การคิดเชิงวิเคราะห์เป็นพื้นฐานการคิดในมิติอื่น
ๆ การคิดเชิงวิเคราะห์นับเป็นผู้ที่ทำหน้าที่เป็น “ผู้เล่นหลัก”
สำหรับการคิดในมิติอื่น ๆ อีก 9 มิติ
ไม่ว่าจะเป็นการคิดเชิงวิพากย์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ การคิดเชิงกลยุทธ์
การคิดเชิงบูรณาการ การคิดเชิงอนาคต ฯลฯ
การคิดเชิงวิเคราะห์จะช่วยเสริมสร้างให้เกิดมุมมองเชิงลึกและครบถ้วนในเรื่องนั้น
อันจะนำไปสู่การตัดสินใจและการแก้ปัญหาได้บรรลุวัตถุประสงค์การคิด
นอกจากนี้ในการคิดมิติอื่น ๆ เช่นกัน เราจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ควบคู่กันไปด้วย
จนอาจกล่าวได้ว่าหากเราต้องการให้การคิดในเรื่องหนึ่งของเราบรรลุวัตถุประสงค์
จำเป็นต้องใช้การคิดเชิงวิเคราะห์เข้ามามีส่วนช่วย
3. การคิดเชิงวิเคราะห์ช่วยในการแก้ปัญหา
การคิดเชิงวิเคราะห์เกี่ยวข้องกับการจำแนกแยกแยะองค์ประกอบต่าง
ๆ และการทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นย่อมจะช่วยเราเมื่อพบปัญหาใด ๆ
ให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่าปัญหานั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
เพราะสาเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น อันจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้ตรงกับประเด็นปัญหา
4. การคิดเชิงวิเคราะห์ช่วยในการประเมินและตัดสินใจ
การวิเคราะห์ช่วยให้เรารู้ข้อเท็จจริงหรือเหตุผลเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้น
ช่วยให้เราเกิดความเข้าใจ
และที่สำคัญการวิเคราะห์ช่วยให้เราได้ข้อมูลเป็นฐานความรู้ในการนำไปใช้ประโยชน์
การวิเคราะห์ช่วยให้เราสามารถประเมินสถานการณ์ และตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้แม่นยำกว่าการเพียงแต่มีข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์
การวิเคราะห์ทำให้เรารู้สาเหตุของปัญหา เห็นโอกาสของความน่าจะเป็นในอนาคต เช่น
การวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งขององค์กร โอกาสและอุปสรรค จะช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจมีข้อมูลพื้นฐานที่นำไปใช้ในการวางแผนกลยุทธ์องค์กรต่อไป
5. การคิดเชิงวิเคราะห์ช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์สมเหตุสมผล
การคิดเชิงวิเคราะห์ช่วยให้การคิดต่าง ๆ อยู่บนฐานของตรรกะและความน่าจะเป็นไปได้
อย่างมีเหตุผล มีหลักเกณฑ์ ส่งผลให้เมื่อคิดจินตนาการหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
จะได้รับการตรวจสอบว่าความคิดใหม่นั้นใช้ได้จริงหรือไม่
ถ้าจะทำให้ใช้ได้จริงต้องเป็นเช่นไร
แล้วเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่จินตนาการขึ้นกับการนำมาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง
สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมายที่เห็นในปัจจุบันล้วนเป็นผลจากการวิเคราะห์ว่าใช้การได้
6. การคิดเชิงวิเคราะห์ช่วยให้เข้าใจแจ่มกระจ่าง
การคิดเชิงวิเคราะห์ช่วยให้เราประเมินและสรุปสิ่งต่าง ๆ ไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
ไม่ใช่สรุปตามอารมณ์ความรู้สึก หรือการคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น
ทำให้ได้รับข้อมูลที่เป็นจริงซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ
ที่สำคัญยังช่วยให้เราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเข้าใจถ่องแท้มากขึ้น
เพราะการวิเคราะห์ทำให้สิ่งที่คลุมเครือเกิดความกระจ่างชัด
สามารถแยกแยะระหว่างสิ่งดี-ไม่ดี สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่หลอกลวง
โดยการจับสังเกตความผิดปกติของเหตุการณ์ ข้อความ และพฤติกรรม
พาเราคิดใครครวญถึงเหตุและผลของสิ่งนั้น จนเพียงพอที่จะสรุปว่าเรื่องนั้นมีความเป็นมาอย่างไร
เท็จจริงอย่างไร อะไรเป็นเหตุเป็นผลกับสิ่งใด เกิดความแจ่มกระจ่างในความเข้าใจ
สุวิทย์ มูลคำ (2547)
กล่าวถึงประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ไว้ดังนี้
1. ช่วยให้เรารู้ข้อเท็จจริง
รู้เหตุผลเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้น เข้าใจความเป็นมาเป็นไปของเหตุการณ์ต่าง ๆ
รู้ว่าเรื่องนั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
ทำให้เราได้ข้อเท็จจริงที่เป็นฐานความรู้ในการนำไปใช้ในการตัดสินใจแก้ปัญหาการประเมินและการตัดสินใจแก้ปัญหาการประเมินและการตัดสินใจเรื่องต่าง
ๆ ได้อย่างถูกต้อง
2. ช่วยให้เราสำรวจความสมเหตุสมผลของข้อมูลที่ปรากฏและไม่ด่วนสรุปตามอารมณ์ความรู้สึกหรืออคติ
แต่สืบค้นตามหลักเหตุผลและข้อมูลที่เป็นจริง
3. ช่วยให้เราไม่ด่วนสรุปสิ่งใดง่าย
ๆ แต่สื่อสารตามความเป็นจริง ขณะเดียวกันจะช่วยให้เราไม่หลงเชื่อข้ออ้างที่เกิดจากตัวอย่างเพียงอย่างเดียว
แต่พิจารณาเหตุผลและปัจจัยเฉพาะในแต่ละกรณีได้
4. ช่วยในการพิจารณาสาระสำคัญอื่น
ๆ ที่ถูกบิดเบือนไปจากความประทับใจในครั้งแรก ทำให้เรามองอย่างครบถ้วนในแง่มุมอื่น
ๆ ที่มีอยู่
5. ช่วยพัฒนาความเป็นคนช่างสังเกต
การหาความแตกต่างของสิ่งที่ปรากฏพิจารณาตามความสมเหตุสมผลของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจสรุปสิ่งใดลงไป
6. ช่วยให้เราหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น
โดยไม่ยึดกับอคติ ทำให้การประเมินเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
7. ช่วยในการคาดคะเนความน่าจะเป็น
โดยอาศัยข้อมูลพื้นฐานและปัจจัยอื่น ๆ ในการคาดคะเนความน่าจะเป็นบนหลักเหตุและผล
ลักขณา สริวัฒน์
(2549) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ไว้ว่า
ช่วยส่งเสริมความฉลาดทางสติปัญญา สามารถแก้ปัญหา ประเมิน ตัดสินใจ
และสรุปข้อมูลต่าง ๆ ที่รับรู้ด้วยความสมเหตุสมผล อันเป็นพื้นฐานการคิดในมิติอื่น
ๆ
สุคนธ์ สินธพานนท์
(2555) กล่าวถึงประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ไว้ดังนี้
1. ทำให้สามารถแยกข้อเท็จจริงออกจากข้อมูล
หรือจากความเห็น
มีความกระจ่างชัดเจนที่ให้มองเห็นแนวทางในการตัดสินใจที่จะทำงานหรือดำเนินกิจกรรมต่าง
ๆ อย่างเป็นระบบ บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาทักษะการเรียนรู้
การแสวงหาความรู้
จากการศึกษาประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์
สามารถสรุปได้ว่าการคิดวิเคราะห์เป็นทักษะสำคัญที่มนุษย์ทุกคนพึงมี
และต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อรู้เท่าทันความรู้ ข้อมูล
ข่าวสาร และเทคโนโลยีสมัยใหม่ และช่วยในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง และทันท่วงที
เพื่อการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
เอกสารอ้างอิง
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2546). การคิดเชิงวิเคราะห์. กรุงเทพฯ: ซัคเซสมีเดีย.
ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2555). เทคนิคการใช้คำถามพัฒนาความคิด (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: วีพริ้น.
ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ. (2553). แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ เล่ม 1 (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: 9119 เทคนิคพริ้นติ้ง.
__________. (2556). การพัฒนาการคิด (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: 9119 เทคนิค พริ้นติ้ง.
ราชบัณฑิตยสภา. (2554.). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. ค้นเมื่อ 30 เมษายน 2561, จาก http://www.royin.go.th/dictionary/.
ลักขณา สริวัฒน์. (2549). การคิด Thinking. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
ศิวกานท์ ปทุมสูติ. (2553). คู่มือการอ่านคิดวิเคราะห์. กรุงเทพฯ: นวสาส์นการพิมพ์.
สุคนธ์
สินธพานนท์ และคณะ. (2555). พัฒนาทักษะการคิดตามแนวปฏิรูปการศึกษา.
กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด 9119
เทคนิคพริ้นติ้ง.
สุวิทย์ มูลคำ. (2547). กลยุทธ์การสอนคิดวิเคราะห์. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภาพพิมพ์.